Disenchanted (2022) มหัศจรรย์รักข้ามภพกับเวทมนตร์อลเวง เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว ที่ภาคแรกอย่าง Enchanted (2007) ได้ออกฉายจนนำกลับมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งในภาคที่ 2 นี้ การสานต่อเรื่องราวในจักรวาลเดิม กับไทม์ไลน์ที่เป็นเวลามากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับทีมนักแสดงชุดเดิมที่มาร่วมผลงานหลากหลายท่าน และบทเพลงสุดไพเราะและเป็นเอกลักษณ์ ที่ทางดิสนีย์ก็ไม่พลาดอีกแล้ว ความร่วมแต่งระหว่างโลกแฟนตาซีและโลกแรลลิตี ที่ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่งและสมกับการรอคอยจริงๆ
เนื้อเรื่องจะเริ่มต้นต่อจากภาคแรก Enchanted ที่ จีเซล (แสดงโดย เอมี่ อดัมส์) เจ้าหญิงแห่งแอนดาเลเชีย กับ โรเบิร์ต (แสดงโดย แพทริก เดมป์ซีย์) ชายหนุ่มธรรมดาที่สร้างครอบครัวจนเกิดสมาชิกใหม่ จนรู้สึกว่าในเมืองนิวยอร์กไม่ตอบโจทย์กับการอาศัยอยู่อีกแล้ว จนได้ย้ายมายังเมืองแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า มอนโรวิลล์ ปราสาทเก่าๆ ซึ่งก็ทำให้เด็กๆ อย่าง มอร์แกน (แสดงโดย กาเบรียล บัลดัคชิโน) ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ และจีเซล ได้รับ คฑาวิเศษประทานพร เปลี่ยนทุกอย่างใน มอนโรวิลล์ให้กลายเป็นดั่งเทพนิยาย จนทำให้จีเซล กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายแบบไม่รู้ตัว และแอนดาเลเชียหายไปในพริบตา งานนี้เธอจึงต้องเล่นถอนคำสาปขอพรก่อนเที่ยงคืน มิเช่นนั้นคำอธิษฐานนี้จะอยู่ไปโดยตลอดกาล
Disenchanted ดูเหมือนจะถ่ายทอดความเป็นดิสนีย์ได้อย่างดีตามความหมายของชื่อเรื่อง เริ่มด้วยจีเซลที่พบว่าต้องปรับตัวเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงและปรับตัวออกจากชีวิตเดิมๆ ในระหว่างนี้ มอร์แกนก็พบว่าการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ค่อยโรแมนติกแบบที่เราเคยเห็นในเทพนิยาย การเริ่มให้ลักษณะที่มันมีความเหมาะสมและเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงจะทำให้เรื่องราวนี้มีความหลากหลายและเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชมในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเห็นมาในภาคก่อนไปซะทีเดียว
แต่ส่วนเรื่องแอ็กติ้งในภาคนี้ดูเหมือนหนังทีวีมากกว่าที่ดูเหมือนดิสนีย์แฟนตาซี ทั้งหมดนี้ทำให้ Disenchanted ไม่ค่อยทันสมัยและทำให้คนดูต้องรู้สึกไม่พอใจเลยก็ว่าได้ โดยรวมแล้วเป็นการผิดคาดของการนำตัวละครและเรื่องราวนี้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของดิสนีย์ เพราะไม่ได้ปรับปรุงภาคต่อให้ดียิ่งกว่าที่คิด ให้ความสนุกกลับมาให้กับผู้ชมดิสนีย์แฟนกับเรื่องราวนี้อย่างแท้จริง ซึ่งทำออกมาได้ไม่ดีเท่ากับภาคแรกเท่าไรหากจะเทียบกันแล้ว
อย่างไรก็ตามส่วนดีที่หนังเรื่องนี้มีอยู่ต้องยกให้กับเพลงในหนัง คราวนี้เราได้ฟังผลงานของ Alan Menken นักแต่งเพลงที่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมกับแอนิเมชันดิสนีย์ ที่เคยได้ร่วมกำกับเพลงในสไตล์บรอดเวย์มิวสิคัลอย่างดิสนีย์ได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้แล้วตัวบทเพลงก็สามารถเรียกว่าเป็นจุดเด่นที่ช่วยดึงให้หนังภาคนี้ไม่แย่เกินไป แม้ว่าองค์ประกอบอื่นๆ ของหนังนี้อาจจะไม่น่าพอใจตามที่คาดหวังก็ตาม แต่พอบวกกับเพลงของหนังไปด้วยแล้วกลับออกมาดี ส่วนใครที่ดูภาคแรกมาแล้วก็อยากให้ไปติดตามภาคต่อเรื่องนี้กันอีกครั้ง เพื่อรื้อฟื้นความหลังและตัวละครต่างๆ ก็สนุกไม่น้อยเลยทีเดียว