The School for Good and Evil ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีที่ดัดแปลงมาจากฉบับนิยาย ฉายลงจอรับชมแล้วผ่านช่องทาง Netflix จากผลงานการกำกับโดย Paul Feig เล่าเรื่องราวของโซฟีและอกาธา สองเด็กสาวจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่บังเอิญถูกลักพาตัวไปโรงเรียนแห่งความดีและความชั่ว โรงเรียนเวทมนตร์ที่แยกเด็กๆ ออกเป็นสองกลุ่ม ตามลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของแต่ละคน
สำหรับด้านของโซฟี เธอที่ใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าหญิงให้เหมือนกับในเทพนิยาย จึงถูกส่งตัวไปโรงเรียนแห่งความดี ส่วนอกาธาที่มีพฤติกรรมสุดโหดและชอบทำร้ายกลั่นแกล้งคนอื่นอยู่เป็นประจำ ทำให้ต้องถูกส่งตัวไปโรงเรียนแห่งความชั่ว แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้ ทั้งการเรียนรู้ที่จะใช้เวทมนตร์และต่อสู้กับปีศาจ ส่วนอกาธาก็พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในโรงเรียนเช่นกันแต่สุดท้ายแล้วก็มารู้ใจตัวเองทีหลังว่าไม่ได้เหมาะกับการเป็นวายร้ายอย่างที่เธอคิด
ในเวลาต่อมา ทั้งสองสาวได้พบกับเพื่อนใหม่มากมายในโรงเรียน ซึ่งโซฟีได้พบกับเบลล่า หญิงสาวผู้อ่อนโยนจิตใจดี ส่วนอกาธาได้พบกับคาล หนุ่มหล่อที่อบอุ่นคารมดีจนทำให้ทั้งสองสาวได้เรียนรู้ที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงจากประสบการณ์ในโรงเรียน ถึงอย่างนั้นโรงเรียนแห่งนี้ก็กำลังถูกคุกคามโดยศาสตราจารย์ราเวล อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนแห่งความชั่ว ที่ต้องการทำลายสมดุลระหว่างความดีและความชั่วบนโลกใบนี้ โซฟีและอกาธาต้องร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งศาสตราจารย์ราเวลและปกป้องโลกแห่งเทพนิยายนี้ให้ได้
เรียกได้ว่านี่คือหนังแนวแฟนตาซีที่ทำออกมาได้จัดเต็มจริงๆ องค์ประกอบต่างๆ ทั้งฉาก ซีจี บทของตัวละคร ทำให้เราหลุดไปในโลกของเวทมนต์อย่างแท้จริง ซึ่งเนื้อเรื่องก็ยังมีความเข้มข้นและน่าติดตามมากอีกด้วย ที่สำคัญคือเรื่องนี้จะให้รายละเอียดกับตัวละครค่อนข้างเยอะ ผ่านการเล่านิสัยและสไตล์การใช้ชีวิต ดังนั้นต้นเรื่องจึงดูจะเดินเรื่องได้ช้าไปหน่อยนั่นเอง บวกกับตัวละครอย่างอกาธาที่ต้นเรื่องเป็นตัวร้ายแต่ตอนท้ายกลายเป็นนางเอกซะอย่างนั้น เลยไม่ค่อยอินกับตรงนี้สักเท่าไร
ความอลังการของงานสร้างเรื่องนี้บอกเลยว่า เวทย์มนตร์นั้นสมจริงและซีจีทำออกมาได้แบบไม่ลอยเลย ส่วนพล็อตการเล่าเรื่องก็ผูกปมได้แบบเข้าใจง่าย ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ความขัดแย้งกันระหว่างปมตัวละครที่ง่ายจนเรียกว่าง่ายเกินไปหน่อย จนเราแทบจะไม่ต้องเดาหรือคิดอะไรเยอะ แต่ก็อาจจะสนุกดูง่ายไม่ซับซ้อนนั่นเอง ที่สำคัญความขัดแย้งของตัวละครเหล่านี้ เราจะได้เห็นในบทสรุปตอนท้ายของเรื่องว่าสุดท้ายแล้วใครจะลงเอยอย่างไรบ้าง
โดยรวมแล้วก็ถือว่า The School for Good and Evil น่าจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แฟนตาซีจ๋าๆ แบบจัดเต็มเอาใจคอหนังที่มาสายนี้แน่นอน มีความคล้ายกับจักรวาลของแฮรรี่พอตเตอร์อยู่บ้าง ด้วยความที่สนุก รับชมง่าย บทสรุปตอนจบดี จึงน่าจะเหมาะกับผู้รับชมทุกเพศทุกวัย แถมยังให้แง่คิดดีๆ สอนเด็กๆ และวัยรุ่นกันอีกด้วย แต่จะชื่นชอบหรือไม่คุณต้องลองไปติดตามรับชมกัน